การเพิ่มมูลค่าและสร้างความแตกต่างให้สินค้าด้วยบรรจุภัณฑ์

รอบตัวเราล้วนเต็มไปด้วยบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าเราเดินห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ หรือกระทั่งในบ้านของเราเอง เราก็จะพบบรรจุภัณฑ์เต็มไปหมด บรรจุภัณฑ์เหล่านี้มีความหลากหลายทั้งรูปร่างและขนาด ตั้งแต่กล่องสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ ของขนมไปจนถึงขวดกระปุกเครื่องสำอางที่มีรูปทรงซับซ้อน เรารู้หรือไม่ว่ากว่าที่จะออกมาเป็นบรรจุภัณฑ์ให้เราได้ใช้กันนั้นผู้ออกแบบบรรจุภัณฑ์ได้ผ่านกระบวนการออกแบบและกระบวนการคิดอะไรมาบ้างกว่าจะได้ออกมาเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ “ดี” สักชิ้นหนึ่ง

หน้าที่สำคัญที่สุดของบรรจุภัณฑ์ก็คือการปกป้องสินค้าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตั้งแต่ผู้ผลิตจนมาถึงมือผู้บริโภคอย่างเราๆ นักออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดีจะต้องคำนึงถึงจุดนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม เราสามารถพบเห็นบรรจุภัณฑ์ลักษณะนี้อยู่เต็มไปหมดในท้องตลาด ปัญหาเหล่านี้เกิดจาก “ผู้ผลิต” ต้องการลดต้นทุนให้ต่ำที่สุด ทำให้นักออกแบบบรรจุภัณฑ์ถูกจำกัดด้วยงบประมาณในการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่จำกัด ผู้ผลิตบางรายจะมองข้ามความสำคัญของบรรจุภัณฑ์และทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการทำการตลาดให้แก่ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เช่น จ้างพรีเซ็นเตอร์ ออกบูทโปรโมท ซื้อโฆษณาต่าง ๆ ถ้าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่มีทุนหนาแบบนั้นก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นผู้ประกอบการรายย่อย จะทำอย่างไรจึงจะสามารถแข่งขันในตลาดร่วมกับกับบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้นได้

การสร้างความแตกต่างคือคำตอบ เพราะเมื่อใดก็ตามที่สินค้าต่างยี่ห้อมีราคาใกล้เคียงกัน มีคุณภาพไม่ต่างกัน ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าโดยเลือกที่ดีไซน์ของบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก บรรจุภัณฑ์ที่มีดีไซน์แปลกใหม่กว่า มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่า เปิดปิดสะดวกกว่า สวยงามกว่า แลดูมีคุณภาพมากกว่าก็จะสื่อเป็นนัยๆ ถึงคุณภาพของสินค้าภาพในว่าดีกว่าของคู่แข่ง บริษัทผู้ผลิตเชื่อถือได้ ซึ่งอาจจะเป็นหรือไม่เป็นความจริงก็ได้ แต่การที่ผู้บริโภคมีทัศนคติเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และแบรนด์ของเราไปในทางที่ดีกว่าของคู่แข่งก็ย่อมเป็นการเพิ่มมูลค่าและภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้มากยิ่งขึ้น และยิ่งถ้าสินค้าภายในมีคุณภาพด้วยแล้วก็จะเกิดการบอกต่อของผู้บริโภค ทำให้เราไม่ต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการทำการตลาด แต่เอางบประมาณเหล่านั้นมาพัฒนาบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ให้มีคุณค่าและคุณภาพ เป็นการสร้างมูลค่าให้แก่ตัวผลิตภัณฑ์และแบรนด์ เป็นรากฐานที่สำคัญของบริษัทในการเติบโตอย่างยั่งยืน